หุ้นทอง
ผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน SET CEO SURVEY: ECONOMIC OUTLOOK 2024 - 2025


 

ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สำรวจความคิดเห็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจ การดำเนินธุรกิจ และประเด็นที่น่าสนใจในปี 2567-2568 รวบรวมข้อมูลในช่วงวันที่ 1 สิงหาคม - 27 กันยายน 2567 มีบริษัทจดทะเบียนร่วมแสดงความคิดเห็นทั้งสิ้น 249 บริษัท พบว่า

· 63% ของ CEO คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 และปี 2568 จะเติบโตได้ที่ระดับ 2-3% โดยปัจจัยสำคัญทางเศรษฐกิจที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2567 และต่อเนื่องถึงปี 2568 คือ การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ในขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันเศรษฐกิจคือหนี้ครัวเรือน กำลังซื้อภายในประเทศ และเสถียรภาพทางการเมือง อย่างไรก็ตาม มองว่าในปี 2568 เสถียรภาพการเมืองโลกและต้นทุนค่าจ้างแรงงานอาจมีส่วนกดดันเศรษฐกิจมากขึ้น

· CEO เกินกว่า 70% คาดการณ์รายได้ของบริษัทยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2567 และอัตราการเติบโตจะเร่งขึ้นอีกในปี 2568 โดย CEO ส่วนใหญ่มีความกังวลเกี่ยวกับ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง อาจเป็นความเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจมากที่สุด ตามด้วยปัจจัยด้านต้นทุน เช่น ต้นทุนด้านพลังงาน

· CEO 3 ใน 4 มีความสนใจที่จะลงทุนหรือขยายกิจการเพิ่มเติมในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน (69%) ประเทศจีน (12%) และประเทศอินเดีย (10%) อย่างไรก็ตาม CEO จำนวนมากยังมีความกังวลในด้านสภาพคล่องที่เกี่ยวกับยอดขาย ที่ชะลอตัวลง (64%) และการชำระเงินของลูกหนี้การค้า (55%)

· CEO จำนวนประมาณ 70% มองเทรนด์โลกอย่างเทคโนโลยี Generative AI และการปรับตัวด้านความยั่งยืน เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจ แต่กังวลสงครามการค้าระหว่างประเทศและการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจส่งผลกระทบในทางลบ

ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สำรวจความคิดเห็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ในปี 2567 - 2568 (CEO Survey: Economic Outlook 2024 - 2025) เกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจ การดำเนินธุรกิจ และประเด็นที่น่าสนใจ โดยรวบรวมข้อมูลในช่วงวันที่ 1 สิงหาคม - 27 กันยายน 2567 มีบริษัทจดทะเบียนจาก SET และ mai ร่วมแสดง ความคิดเห็นทั้งสิ้น 249 บริษัท จาก 26 หมวดธุรกิจ รวม 53.9% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ 31 กรกฎาคม 2567

ด้านเศรษฐกิจ

CEO คาดว่าเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ 2-3% ในปี 2567 และ 2568 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ คือ การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ มองเสถียรภาพทางการเมืองไทย ปัญหาหนี้ครัวเรือนและกำลังซื้อภายในประเทศเป็นปัจจัยเสี่ยงกดดันเศรษฐกิจ คาดเงินเฟ้อ 2567 เป็นไปตามกรอบเป้าหมาย

ในด้านปัจจัยที่ส่งผลทางลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ มากที่สุดสำหรับปี 2567 CEO มองว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ เสถียรภาพการเมืองไทย หนี้ครัวเรือน และกำลังซื้อภายในประเทศ ตามลำดับ และสำหรับปี 2568 ก็ยังคงเป็น 3 ปัจจัยเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 CEO มองว่าเสถียรภาพการเมืองไทยและปัญหากำลังซื้อภายในประเทศจะเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจน้อยลง แต่เสถียรภาพการเมืองโลกและต้นทุนค่าจ้างแรงงานจะเข้ามามีบทบาทกดดันเศรษฐกิจมากขึ้น รวมทั้งบางท่านมีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสร้างการผลิตของประเทศไทยที่ยังเป็นอุตสาหกรรมรูปแบบเก่าซึ่งต้องมีการปรับตัว และการเข้ามาทำตลาดของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ
 

 
 
 
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2567 CEO ส่วนใหญ่ราว 60% เชื่อว่าน่าจะอยู่ภายในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ (1%-3%) และ 27% มองว่าอาจจะต่ำกว่ากรอบเงินเฟ้อ

ด้านการดำเนินธุรกิจ

CEO คาดว่ารายได้จากการประกอบธุรกิจยังเติบโตได้ในปี 2567 และอัตราการเติบโตจะเร่งขึ้นในปี 2568 ยังเชื่อมั่นลงทุนขยายธุรกิจเพิ่มเติมโดยเฉพาะในไทยและภูมิภาคอาเซียน ด้านสภาพคล่องของธุรกิจยังเป็นปกติแม้อาจมีความเสี่ยงจากกำลังซื้อภายในประเทศที่ลดลงและต้นทุนการผลิตที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยมีการปรับกลยุทธ์ในหลายๆ ด้าน เพื่อรับมือกับความท้าทาย

รายได้ของธุรกิจ

สำหรับปี 2567 CEO ที่คาดการณ์ว่ารายได้ของธุรกิจจะเติบโตเล็กน้อยถึงปานกลาง (0.1-10%) มีจำนวนรวม 55% สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของรายได้ของบริษัทจดทะเบียน ในครึ่งปีแรก 2567 ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.3% และ 7.7% สำหรับบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai ตามลำดับ1 สำหรับปี 2568 CEO คาดว่ารายได้ของธุรกิจจะเติบโตเพิ่มขึ้นจาก ปี 2567 ในทุกระดับการเติบโต สะท้อนว่าในภาพรวม CEO คาดว่าอัตราการเติบโตของรายได้น่าจะเร่งตัวขึ้นในปีหน้า

 
การลงทุน

CEO 3 ใน 4 มองว่าช่วงเวลา 12 เดือนข้างหน้า มีความน่าสนใจลงทุนหรือขยายกิจการเพิ่มเติม โดยจากกลุ่มดังกล่าว จำนวนประมาณ 2 ใน 3 มีความสนใจในภูมิภาคอาเซียนนำโดยประเทศไทยและตามมาด้วยเวียดนาม และให้ความสนใจรองๆ ลงมาในประเทศจีนและประเทศอินเดีย ตามลำดับ ซึ่งเป็นภูมิภาคหรือประเทศที่มีฐานลูกค้า ขนาดใหญ่ และเศรษฐกิจกำลังพัฒนารวดเร็ว
 
 
 
ปัจจัยการดำเนินธุรกิจที่ต้องติดตาม

ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า CEO ส่วนใหญ่ห่วงปัญหา หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง อาจเป็นความเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจมากที่สุด ตามด้วยปัจจัยต้นทุนการผลิตทั้งด้านวัตถุดิบ พลังงาน และต้นทุนทางการเงิน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ รวมทั้งบางท่านมีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเข้ามาทำตลาดของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยใหม่ที่ถูกระบุเพิ่มเข้ามาในการสำรวจรอบนี้


การบริหารด้านสภาพคล่อง

จากผลการสำรวจความกังวลของ CEO เกี่ยวกับ สภาพคล่องของกิจการในช่วง 12 เดือนข้างหน้า แสดงให้เห็นว่า CEO ส่วนมากยังมีความกังวลในด้านสภาพคล่องที่เกี่ยวกับยอดขายที่ชะลอตัวลงและการชำระเงินของลูกหนี้การค้า และส่วนหนึ่งมีความกังวลเกี่ยวกับการขอสินเชื่อธนาคารและวงเงินสินเชื่อ

 
การปรับตัวทางธุรกิจรับมือความท้าทาย

บริษัทจดทะเบียนดำเนินการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อรับมือกับความท้าทาย โดยมีการปรับโครงสร้างธุรกิจ กำหนด กลยุทธ์และเป้าหมายการลงทุน ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดและปรับปรุงสินค้าหรือบริการให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการบริการเพื่อให้สามารถแข่งขันได้

ในด้านโครงสร้างธุรกิจและการลงทุน CEO ส่วนใหญ่ เลือกที่จะปรับโครงสร้างภายในบริษัทเองมากกว่าที่จะปรับโครงสร้างผ่านการควบรวมกิจการหรือเปิดให้มีผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่เข้ามาเพิ่มเติม และ 70% เน้นการขยายการลงทุนภายในประเทศ โดยมีบริษัท 40% ที่พิจารณาขยายการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งใกล้เคียงกับสัดส่วนบริษัทจดทะเบียนราว 35% ที่มีการรายงานรายได้จากต่างประเทศในปีล่าสุด2 และมีบริษัทราว 20% และ 30% ที่มีการพิจารณาทางเลือกแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมจากการเสนอขายตราสารทุนและหุ้นกู้ ตามลำดับ

 
ในด้านการดำเนินงานและการตลาด CEO จำนวนมาก ระบุว่าได้ดำเนินการหรือมีแผนในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านแรงงานและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าหรือบริการ ควบคู่ไปกับการทำวิจัยและพัฒนา ปรับปรุงผลิตภัณฑ์และราคาให้เหมาะสม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าหรือบริการ รวมทั้งมีการปรับช่องทางการโฆษณาสินค้าและวิธีการสื่อสารเฉพาะกลุ่มให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแทนกลยุทธ์ทางการตลาดแบบเดิม

ประเด็นเพิ่มเติม
 
CEO มองเทรนด์โลกอย่างเทคโนโลยี Generative AI และการปรับตัวด้านความยั่งยืน เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจ ในขณะที่เห็นว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและสงครามการค้าระหว่างประเทศอาจส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจ

 
CEO ส่วนใหญ่มองว่า ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เทคโนโลยี Generative AI และเทรนด์การปรับตัวด้านความยั่งยืน (sustainability) จะส่งผลเชิงบวกทั้งต่อเศรษฐกิจไทยและการดำเนินธุรกิจมากที่สุด อาจนำมาทั้งโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ในทางกลับกัน CEO ส่วนใหญ่มองว่าการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลเชิงลบทั้งต่อเศรษฐกิจไทยและการดำเนินธุรกิจ โดยการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำอาจกระทบต่อต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น อีกหนึ่งปัจจัยที่ CEO ส่วนใหญ่มองว่าอาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและส่วนหนึ่งมองว่าอาจกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ คือ สงครามการค้า

บันทึกโดย : วันที่ : 22 ต.ค. 2567 เวลา : 18:33:13
23-10-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (22 ต.ค.67) พุ่ง 20.90 เหรียญ แห่ซื้อทองกังวลผลเลือกตั้งสหรัฐและสงครามตะวันออกกลาง

2. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (22 ต.ค.67) ลบ 6.71 จุด เหตุบอนด์ยีลด์พุ่งกดดันตลาด

3. มวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมภาคอีสาน ส่งผลภาคอีสานอุณหภูมิลดลง 1-3 องศา และมีฝน 10% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคตะวันออก ฝน 40% ภาคกลาง-ภาคใต้ ฝั่ง ตอ. 30% ภาคเหนือ-ภาคใต้ ฝั่ง ตต. 20%

4. ทองเปิดตลาดวันนี้ (23 ต.ค.67) พุ่งขึ้น 250 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 44,100 บาท

5. ตลาดหุ้นปิด (22 ต.ค.67) ลบ 18.42 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,470.32 จุด

6. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (22 ต.ค.67) ลบ 6.24 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,482.50 จุด

7. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำตลาดโลกจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 2,700 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,745 เหรียญ

8. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (21 ต.ค.67) ร่วง 344.31 จุด เหตุบอนด์ยีลด์พุ่งทุบตลาด

9. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (21 ต.ค.67) บวก 8.90 ดอลล์ รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

10. ตลาดหุ้นไทยเปิด (22 ต.ค.67) ลบ 2.29 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,485.81 จุด

11. ทองเปิดตลาดวันนี้ (22 ต.ค.67) "คงที่" ทองรูปพรรณ ขายออก 43,750 บาท

12. ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออก ส่งผล "กรุงเทพปริมณฑล" ฝนฟ้าคะนอง 70% ภาคเหนือ-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก 60% ภาคอีสาน-ภาคใต้ ฝั่ง ตอ. 40% ภาคใต้ ฝั่ง ตต. 20%

13. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.35-33.60 บาท/ดอลลาร์

14. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (22 ต.ค.67) อ่อนค่าลง ที่ระดับ 33.52 บาทต่อดอลลาร์

15. ตลาดหุ้นปิด (21 ต.ค.67) ลบ 1.08 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,488.74 จุด

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 23, 2024, 2:22 pm