แบงก์-นอนแบงก์
ทีทีบี ขนทัพผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศ แชร์โอกาสและความท้าทายแก่ผู้ประกอบการไทย พร้อมปรับกลยุทธ์รุกตลาดเอเชียในปีหน้า


 
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ระดมผู้เชี่ยวชาญและพันธมิตรจากภาครัฐและเอกชน เปิดมุมมองและประสบการณ์ตรงในการทำการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดในเอเชีย พร้อมวิเคราะห์เจาะลึกสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยและการค้าโลกในปี 2025 แนะผู้ประกอบการนำเข้า-ส่งออกไทย พร้อมปรับกลยุทธ์รับมือเพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตในสมรภูมิการค้าโลกได้อย่างแข็งแกร่ง 

 
นายศรัณย์ ภู่พัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวเปิดงานสัมมนา ttb I Global Trade & FX Forum ภายใต้หัวข้อ “The Future of Asia : Economic Trends and Trade Challenges for Thailand 2025” ว่า การค้าโลกตั้งแต่ปี 2005 จนถึงปัจจุบันมีการเติบโตมากถึง 2 เท่า และเมื่อส่องลึกเข้าไป จะเห็นได้ว่าการเติบโตของการค้าโลกถูกขับเคลื่อนโดยภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเติบโตมากขึ้นถึง 3 เท่า โดยเฉพาะจีนเติบโตขึ้นถึง 5 เท่า ภูมิภาคเอเชียจึงเป็นดาวเด่นและเป็นจุดที่ทั่วโลกให้ความสนใจ ดังนั้นหากพูดถึงเอเชียก็ต้องให้ความสำคัญกับประเทศจีน ในอดีตประเทศจีนเติบโตโดยอาศัยการลงทุนเป็นหลัก จะเห็นได้ว่าสัดส่วนการลงทุนเทียบกับ GDP ของจีนมีสูงถึงเกือบ 45% ในขณะที่สหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ 20-25% ซึ่งผลของการเติบโตผ่านการลงทุนในอดีต ทำให้เกิดกำลังการผลิตส่วนเกินเป็นจำนวนมากในหลายอุตสาหกรรมในจีน ส่งผลให้สินค้าจีนไหลเข้ามาในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในเอเชียและอาเซียนซึ่งมีมาตราการกีดกันสินค้าจีนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ และยุโรป ปรากฏการณ์นี้คงจะไม่ใช่เหตุการณ์ชั่วคราวแต่จะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ผู้ประกอบการต้องเฝ้าติดตามและจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปรับตัว ซึ่งทีทีบีพร้อมเป็นพันธมิตรที่ช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยเตรียมพร้อมรับมือ และปรับกลยุทธ์เชิงรุกในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตในสมรภูมิการค้าโลกได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

 
นายนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics ทีเอ็มบีธนชาต ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2568 ยังเติบโตได้แบบชะลอตัว ท่ามกลางความท้าทายหลายปัจจัย ได้แก่ นโยบายการเงินที่เริ่มเห็นสัญญาณของดอกเบี้ยขาลงโดยเฉพาะในฝั่งของสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกนับเป็นต้นทุนสำคัญที่ส่งผลต่อการส่งออก ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตได้แต่ไม่ก้าวกระโดด  การบริโภคที่มีสัดส่วน 60% ของ GDP เริ่มมีการเติบโตในอัตราที่ชะลอตัว ผลมาจากภาวะหนี้ครัวเรือน ส่วนภาคการท่องเที่ยวกลับสู่ภาวะปกติแล้วและจะเป็นความหวัง แต่ก็มีสัดส่วน 12% ของ GDP เท่านั้น ขณะที่ภาคการส่งออกคาดการณ์ว่าจะเติบโตดีขึ้น ด้วยสัดส่วน 60% ของ GDP และผลของการค้าโลกมีตลาดใหม่ที่กำลังเติบโตอยู่มากโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ขณะที่ตลาดจีนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญถึงขนาด “หากจีนสะอึก โลกก็กระอัก” รวมถึงประเทศไทย ถึงแม้ว่าจะมีความท้าทายในหลายมิติ แต่เป็นโอกาสสำคัญของผู้ส่งออกไทยในการหาตลาดใหม่ ซึ่งหัวใจสำคัญอยู่ที่การปรับตัวเพื่อรู้เท่าทันกับความท้าทายต่าง ๆ  

 
ขณะที่ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แม้วันนี้เศรษฐกิจของจีนจะไม่ใช่วิกฤติเป็ดปักกิ่ง แต่ความเชื่อมั่นยังคงเป็นปัญหาสำคัญ แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่คาดว่าเศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตได้ประมาณ 3-5 % และจะมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีมากขึ้น ขณะที่ประเทศในภูมิภาคอาเซียนและไทยที่ยังคงต้องเจอกับคลื่นสินค้าจากจีนที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากนี้ประเทศในภูมิภาคเอเชียจะต้องทำการค้าระหว่างกันให้มากขึ้น พร้อมแนะ 5 กลยุทธ์สำหรับผู้ประกอบการไทยในการตั้งรับและรุกกลับ ได้แก่ 1) การบุกตลาดสหรัฐฯและยุโรป โดยเข้าไปแทนที่สินค้าจากจีน 2) การบุกตลาดจีน 3) การบุกตลาดอาเซียน 4) กระจายความเสี่ยงไปยังตลาดเกิดใหม่ และ 5) ปรับกลยุทธ์หันมาปรับปรุงประสิทธิภาพและผลิตภาพในการผลิต

 
สำหรับการเสวนาโอกาสและความท้าทายของผู้ประกอบการไทย ในตลาดเอเชีย ดร.ธนภัท แสงอรุณ ผู้แทนกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ อดีตรองกงสุลฝ่ายพาณิชย์ ณ เมืองมุมไบ กล่าวว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการ ตั้งแต่เริ่มต้นการส่งออก ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบสินค้าให้สอดรับความต้องการ การสร้างแบรนด์ การเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการ การทดลองตลาด การจับคู่ธุรกิจ การนำผู้ประกอบการเปิดตลาดต่างประเทศ รวมถึงการจัดงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยเชิญชวนให้ผู้ประกอบการขยายโอกาสไปในตลาดของชาวอินเดียและมุสลิมให้มากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีแนวโน้มขยายตัวในหลายประเทศ ทั้งในอาเซียนและเอเชียใต้ โดยเฉพาะอินเดีย ซึ่งมีคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะเปิดรับสินค้าจากไทย ซึ่งผู้ประกอบการสามารถทดลองตลาดกับชาวอินเดียและมุสลิมที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยก่อนได้ โดยศึกษาจากสินค้าที่กลุ่มลูกค้าเหล่านี้มองหาและซื้อกลับประเทศ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสในตลาดชาวมุสลิมที่อยู่ในตะวันออกกลางด้วย

ด้านนายอรรถ เมธาพิพัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงิน บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด ได้แชร์มุมมองและประสบการณ์ในการทำธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งมิตรผลได้มีการขยายตลาดไปที่จีน และอินโดนีเซีย ถือว่าเป็นตลาดที่เติบโตสูงและมีการแข่งขันสูง โดยมองว่ามีความท้าทายใน 2 มิติ ได้แก่ ความท้าทายในเชิงธุรกิจ สิ่งสำคัญคือผู้ประกอบการจะต้องมีความสามารถในการแข่งขัน มีความเข้าใจในตลาดและกฎระเบียบท้องถิ่น รวมถึงการมีพาร์ทเนอร์ที่ดี เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้  ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางภูมิประเทศ สงครามการค้าโลก รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าที่ผันผวน และความท้าทายในด้านตลาดทุนตลาดเงินและอัตราแลกเปลี่ยน จากนโยบายการเงินการคลังที่กระทบต่อต้นทุนการเงิน และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้นการบริหารสภาพคล่องเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งต้องอาศัยเครื่องมือทางการเงินต่าง ๆ จากธนาคารช่วยบริหารความเสี่ยง รวมถึงการใช้เทคโนโลยี เช่น  AI ช่วยเสริม Visibility และ Scenario Planning ช่วยผู้ประกอบการในการตัดสินใจและโอกาสทางธุรกิจ จากการดำเนินงานด้าน ESG ควบคู่การขยายธุรกิจ

ขณะที่นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) แชร์ประสบการณ์การเริ่มเข้าไปเปิดตลาดต่างประเทศ สิ่งสำคัญคือ เริ่มจากการเข้าไปทดลองตลาดก่อน เพื่อศึกษาผู้บริโภคว่าให้การตอบรับสินค้าของเราหรือไม่ หลังจากนั้นจึงค่อยขยายและลงทุนเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของกระจายช่องทางการทำตลาดที่เหมาะสม อีกทั้งควรมีพาร์ทเนอร์ที่มีความต้องการในการทำตลาดร่วมกัน การศึกษากฎระเบียบต่าง ๆ ซึ่งแต่ละประเทศจะมีระยะเวลาการขออนุมัติที่ไม่เท่ากัน นอกจากนี้ต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ สงครามการค้า สุดท้ายคืออัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์และเงินบาท ซึ่งผู้ส่งออกควรจะหาผู้ช่วยเข้ามาบริหารความเสี่ยง เพื่อให้ธุรกิจสามารถเดินต่อได้อย่างไร้กังวล   

ด้านนางสาวบุษรัตน์ เบญจรงคกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ผู้ประกอบการที่ทำการค้าต่างประเทศต้องเผชิญกับความผันผวนของค่าเงิน โดยเฉพาะสกุลเงินดอลลาร์ที่มีการแกว่งตัวเฉลี่ย 10-12% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งหากผู้ประกอบการไม่มีการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนที่ดี ก็อาจเปลี่ยนกำไรให้กลายเป็นขาดทุนได้  ทีทีบีจึงอยากแนะนำให้ผู้ประกอบการบริหารความเสี่ยงในการทำการค้าระหว่างประเทศและหันมาใช้สกุลเงินท้องถิ่น หรือ Local Currency มากขึ้นเพราะมีความผันผวนต่ำกว่าสกุลเงินดอลลาร์ โดยทีทีบีมีบริการ Local Currency Solution เพื่อช่วยผู้ประกอบการบริหารจัดการธุรกิจด้วยสกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งครอบคลุมเงินสกุลท้องถิ่นของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยกว่า 52% อาทิ สกุลเงินหยวน รูปีอินเดีย ริงกิตมาเลเซีย และรูเปี๊ยะอินโดนีเซีย เป็นต้น โดยมี 3 สกุลเงินใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ได้แก่ ดองเวียดนาม (VND) วอนเกาหลี (KRW) และเปโซฟิลิปปินส์ (PHP)  นอกจากนั้นยังมี ttb Multi Currency Account (MCA) บัญชีสำหรับบริหารหลายสกุลเงินที่ดีที่สุดเพื่อธุรกิจนำเข้าและส่งออก ด้วยการใช้บัญชีเดียว สามารถใช้ซื้อ ขาย รับ จ่ายได้ทั้งในและต่างประเทศ ที่จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้สะดวกยิ่งขึ้น

ทีทีบีพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นในทุกสถานการณ์ ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยบริหารความเสี่ยงสำหรับธุรกิจนำเข้า-ส่งออก เพื่อการวางแผนการบริหารงานและกลยุทธ์การเติบโตขององค์กรได้อย่างยั่งยืน

#ให้ชีวิตการเงินดีทั้งวันนี้และอนาคต #เปลี่ยนเพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น
#ttb #MakeREALChange
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 25 ต.ค. 2567 เวลา : 11:04:19
26-10-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. พรุ่งนี้ (26 ต.ค. 67) น้ำมันขึ้นราคา เบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ขึ้น 30 สต./ลิตร

2. ตลาดหุ้นปิด (25 ต.ค.67) บวก 2.78 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,463.42 จุด

3. ประกาศ กปน.: 28 ต.ค. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนสุทธิสารวินิจฉัย

4. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (25 ต.ค.67) บวก 3.01 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,463.65 จุด

5. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 2,715 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,750 เหรียญ

6. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (24 ต.ค.67) ลบ 140.59 จุด เหตุหุ้น Boeing-IBM ร่วง ฉุดตลาด

7. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (24 ต.ค.67) บวก 19.50 เหรียญ รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยจากตะวันออกกลางตึงเครียด

8. ลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดปกคลุมทะเลอันดามันและภาคใต้ฝั่งตะวันตก ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางพื้นที่ 60% ส่วนกรุงเทพปริมณฑลและภาคอื่นๆ ฝน 10%

9. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.55-33.80 บาท/ดอลลาร์

10. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (25 ต.ค.67) อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง ที่ระดับ 33.67 บาทต่อดอลลาร์

11. ทองเปิดตลาดวันนี้ (25 ต.ค. 67) ลดลง 50 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 44,100 บาท

12. ตลาดหุ้นไทยเปิด (25 ต.ค.67) บวก 6.38 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,467.02 จุด

13. ตลาดหุ้นปิด (24 ต.ค.67) ลบ 9.68 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,460.64 จุด

14. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (24 ต.ค.67) ลบ 2.81 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,467.51 จุด

15. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับระยะสั้นที่ระดับ 2,700 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,735 เหรียญ

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 26, 2024, 9:16 pm