
ด้วยเงินเยนที่มีการอ่อนค่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ต้นทุนของนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้นถูกลงอย่างมาก ประเทศญี่ปุ่นจึงกลายเป็น Destination ยอดนิยมที่ดึงดูดคนทั่วโลกเข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ จากเพียง 2 แสนคนเมื่อปี 2021 ก้าวกระโดดขึ้นมาเป็น 30 ล้านคนในปี 2023 และ 36.9 ล้านคนในปี 2024 และคาดว่าปี 2025 นักท่องเที่ยวจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 40.2 ล้านคน
หากพิจารณาแบบผิวเผินเหมือนจะดีต่อเศรษฐกิจเพราะรายได้จากการท่องเที่ยวนั้นเพิ่มขึ้น แต่ในเชิงโครงสร้างกลับมีผลกระทบหลายชั้น เพราะสภาวะดังกล่าวคือสิ่งที่เรียกว่า “Overtourism” หรือภาวะนักท่องเที่ยวล้นตลาด ที่แสดงถึงมิติในเชิงปริมาณ ซึ่งอยู่ในขั้วตรงข้ามของเชิงคุณภาพ กล่าวคือ ปกติแล้วญี่ปุ่นจัดเป็นประเทศที่มีความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมและมีชื่อเสียงอย่างมากในระดับโลก ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็น “ประเทศท่องเที่ยวในฝัน” ที่หลาย ๆ คนอยากเก็บเงินมาที่นี้สักครั้ง เพราะด้วยความเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ต้นทุนทางการท่องเที่ยวจึงสูงตามไปด้วย แนวการท่องเที่ยวในญี่ปุ่นจึงเป็นไปในลักษณะการท่องเที่ยวแบบ Premium Tourism แต่ด้วยวิกฤตเศรษฐกิจที่ญี่ปุ่นเผชิญตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนธนาคารกลางญี่ปุ่นต้องตัดสินใจเดินหน้านโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย อย่างการลดอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลที่ตามมาคือเงินเยนที่อ่อนค่าลง แม้จะกระตุ้นได้จริง เพิ่มการบริโภคในประเทศได้จริง แต่ในทางตรงกันข้าม ด้วยต้นทุนการท่องเที่ยวที่ลดลงได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติในปริมาณมหาศาล ซึ่งประกอบไปด้วยนักท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบ รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มที่พฤติกรรมแย่ (Bad Tourist) รวมอยู่ด้วยอย่างมากเลยทีเดียว
สังคมญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับกฎระเบียบ และการดำเนินชีวิตตามขนบธรรมเนียม เมื่อนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เข้ามา จึงกลายเป็น “ภัยอันตราย” สำหรับคนญี่ปุ่น ซึ่งวีรกรรมที่ผ่านมามีทั้งการนอนข้างถนน ส่งเสียงดังรบกวน หาเรื่องคน Local ไปจนถึงการทำลายทรัพย์สินในสถานที่ต่าง ๆ จนเกิดกระแสต่อต้านนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการกีดกันต่าง ๆ หากพบว่าเป็นคนต่างชาติ ซึ่งล้วนแล้วส่งผลทางลบต่อภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก
และถึงแม้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะได้รับผลประโยชน์ แต่รายได้จากนักท่องเที่ยวจำนวนมากมักกระจุกในพื้นที่ท่องเที่ยวหลักและธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น โรงแรมเครือใหญ่ ๆ ร้านค้าระดับบน ส่วนคนท้องถิ่น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก ไม่ได้ประโยชน์มากนักเพราะต้องจ่ายค่าเช่าที่สูงขึ้นและแข่งขันกับทุนใหญ่ จึงกลายเป็นความ “โต” นี้ ไม่ได้กระจายผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม ส่วนคน Local ท้องถิ่น เช่น เกียวโต เริ่มเจอปัญหาคนย้ายออก เพราะค่าครองชีพสูงขึ้น การจราจรติดขัด มีมลพิษเสียงดัง เป็นความเสี่ยงในระดับที่อาจทำให้เกียวโตสูญเสียอัตลักษณ์ของชุมชนได้เลย
นอกจากนี้ ปัญหาของโครงสร้างเศรษฐกิจญี่ปุ่นคือ การเป็นประเทศที่พึ่งพาการท่องเที่ยวกว่า 12–18% ของ GDP ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ดังนั้นจึงมีความเปราะบางต่อปัจจัยภายนอก ที่หากเกิดความตึงเครียดระหว่างประเทศ ภัยธรรมชาติ หรือเหตุการณ์สะเทือนโลกอีกครั้ง ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจล้มเป็นโดมิโนเหมือนช่วงโควิด-19 ก่อนหน้านี้ได้ ซึ่งมาถึงตรงนี้ก็ดูเหมือนว่าญี่ปุ่น คล้ายกับภาพสะท้อนของสิ่งที่อาจจะเกิดกับไทยในอีกไม่กี่ปี ถ้าเรายังเน้น “ปริมาณนักท่องเที่ยว” มากกว่า “ความยั่งยืนและการกระจายรายได้” ที่เมืองหลักอย่างกรุงเทพ เชียงใหม่ ภูเก็ต จะกลายเป็นเมืองในเชิงพาณิชย์ที่มีรายได้ไม่ตกไปถึงคนท้องถิ่น ที่จะเกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาและส่งผลเสียต่อโครงสร้างของประเทศเช่นเดียวกับญี่ปุ่น
ข่าวเด่น