เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Scoop : ความเจริญแบบ "กรุงเทพมหานคร" สามารถเกิดขึ้นในจังหวัดอื่นของไทยได้หรือไม่?


“กรุงเทพมหานคร” ศูนย์กลางแห่งความเจริญของไทย ที่ผู้คนทั้งในและต่างประเทศต่างหลั่งไหลเข้ามาแสวงหาโอกาสเพื่อชีวิตที่ดีกว่า แต่ก็ด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ทำให้เกิดการกระจุกตัวจนกลายเป็นความแออัด อันต้องแย่งกันกินแย่งกันใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดในมหานครแห่งนี้ โดยที่ค่าครองชีพก็แพงขึ้นเข้าไปทุกทีๆ จนคุณภาพชีวิตอาจไม่ได้ดีตามที่หวังไว้ และอาจเกิดคำถามตามมาว่า จังหวัดอื่นในประเทศไทยพอจะมีศักยภาพที่จะเจริญเท่ากับกรุงเทพมหานครได้หรือไม่ เพื่อที่จะได้กระจายคนออกไปได้บ้าง
 
คำตอบก็คือ มันเป็นไปได้…แต่ยาก” เพราะความเจริญในแบบกรุงเทพ มันไม่ใช่แค่เรื่องตึก ถนน หรือห้างสรรพสินค้า แต่เป็นระบบรวมของอำนาจ เศรษฐกิจ และการบริหารรัฐแบบศูนย์กลาง (Centralized) ที่ถูกออกแบบให้ทุกอย่างไหลเข้ากรุงเทพตั้งแต่ต้น เพราะกรุงเทพ ถูกจัดตั้งเป็นเมืองหลวง หรือศูนย์กลางของประเทศไทย ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการส่วนกลางและรัฐบาลทั้งหมด หรือก็คือโครงสร้างอำนาจรัฐรวมศูนย์อยู่ที่นี้ โดยงบประมาณส่วนกลางกว่า 70–80% ถูกจัดสรรและบริหารผ่านหน่วยงานในกรุงเทพ ขณะที่จังหวัดอื่น ๆ ไม่มีอำนาจตัดสินใจด้านผังเมือง การลงทุน หรือภาษีท้องถิ่นมากพอจะพัฒนาแบบอิสระ
 
และหัวใจสำคัญที่ทำให้กรุงเทพไม่เหมือนจังหวัดอื่น คือ โครงสร้างการปกครอง ที่มีกฎหมายปกครองพิเศษ หรือมีสถานะเป็น “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ” ไม่ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทยเหมือนจังหวัดอื่นๆ ทั่วไป กล่าวคือ ผู้บริหารสูงสุด หรือผู้ว่าราชการจังหวัด หากเป็นกรุงเทพจะมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ส่วนจังหวัดอื่นมาจากการที่กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้แต่งตั้ง ส่วนอำนาจการบริหาร แน่นอนว่ากรุงเทพจะเป็นแบบรวมศูนย์ในตัวเอง ที่มีอำนาจทั้งด้านสาธารณูปโภค การจราจร การศึกษาสาธารณสุข และอื่น ๆ โดยมีอำนาจออกข้อบัญญัติของตัวเอง (เช่น พ.ร.บ. กรุงเทพมหานคร) อีกทั้งยังได้งบตรงจากรัฐบาลกลางจำนวนมาก รวมถึงยังมีสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ที่ทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตรวจสอบการบริหารราชการ เพื่อถ่วงดุลฝ่ายบริหาร (ผู้ว่า กทม.) เทียบเคียงได้กับ ส.ส.ในระบบรัฐสภาเลย โดยมีอำนาจหลักในการพิจารณางบประมาณ ออก ข้อบัญญัติ และ ตั้งกระทู้ถาม เพื่อตรวจสอบการทำงานของผู้ว่าฯ และหน่วยงานต่างๆ ในสังกัด กทม. ให้เป็นไปอย่างโปร่งใสและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนได้
 
ขณะเดียวกันในจังหวัดทั่วไป ด้านอำนาจการบริหาร มีการแยกอำนาจระหว่าง “จังหวัด” (หน่วยงานส่วนกลาง) กับ อบจ. และเทศบาลท้องถิ่น ไม่มีสภาจังหวัดเหมือนกรุงเทพ จึงมีขอบเขตอำนาจดูแลได้แค่ในบางเรื่อง มีสถานะทางกฎหมายเป็นเพียงหน่วยบริหารราชการส่วนภูมิภาค ไม่มีอำนาจเต็มที่และเป็นอิสระแบบกรุงเทพ โดยเน้นการประสานงานและขับเคลื่อนนโยบายรัฐแต่เพียงเท่านั้น แถมต้องพึ่งงบจากส่วนกลางและกรมบัญชีกลางเป็นหลักอีกด้วย ดังนั้น ด้วยผลลัพธ์ของกฎหมายปกครองพิเศษ จึงทำให้กรุงเทพ บริหารตัวเองได้เร็วกว่า (เพราะไม่ต้องรอคำสั่งหรืออนุมัติจากกระทรวงมหาดไทยทุกเรื่อง) มีอำนาจบริหารแบบรวมศูนย์ในเขตเดียวทั้งเมือง ครอบคลุมทั้งพื้นที่ 50 เขต ที่สามารถวางนโยบายเชิงเมืองได้เอง เช่น ผังเมือง การจราจร การขนส่งมวลชน ด้วยรายได้ของตัวเองที่มากกว่าจังหวัดอื่น
 
โดยโครงสร้างแบบนี้ ทำให้พื้นฐานของกรุงเทพ มีความได้เปรียบอย่างมากในตัวเอง จึงได้ดึงดูดบรรดาบริษัทขนาดใหญ่ ธนาคาร สำนักงานใหญ่ สื่อ ฯลฯ ให้ล้วนจัดตั้งอยู่ในกรุงเทพ ดังนั้นเองคนต่างจังหวัดที่อยากเติบโตในสายอาชีพ มักต้องเข้ามายังกรุงเทพ ซึ่งก็ได้ผลักดันให้เกิดศูนย์กลางทางด้านการศึกษา รวมถึงการขนส่งและโลจิสติกส์ของไทยก็ถูกออกแบบมาอย่างดีให้ทุกเส้นทางพุ่งเข้ากรุงเทพตามมา กลายเป็นการรวมศูนย์ทางเศรษฐกิจโดยสมบูรณ์
 
ส่วนจังหวัดอื่น มีสถานะคล้ายกับ “ศูนย์รอง” ที่พึ่งพากรุงเทพ ไม่สามารถเป็นศูนย์กลางของตัวเองได้ โดยเราจะสังเกตได้ว่า จังหวัดที่อยู่รอบกรุงเทพ จะจัดเป็นจังหวัดปริมณฑลที่มีฐานเศรษฐกิจแบบซัพพอร์ตกรุงเทพอีกที เช่น ที่พักอาศัย โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษาที่เข้ามา “รองรับ” ประชากรที่หนาแน่นจากกรุงเทพ ส่วนจังหวัดอื่นก็อาจถูกขับเคลื่อนด้วยภาคเอกชนในการจัดตั้งโรงงาน ภาคการท่องเที่ยว และธุรกิจ SME รองลงมา ซึ่งก็มีบางจังหวัด ที่มีศักยภาพพอจะพัฒนาแบบมหานครระดับภูมิภาคอย่างกรุงเทพได้ เช่น เชียงใหม่ – ศูนย์กลางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมภาคเหนือ, ขอนแก่น – จากโมเดล “ขอนแก่นสมาร์ทซิตี้” ที่บริหารโดยเอกชนและเทศบาลร่วมมือกัน, ภูเก็ต – มีเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและต่างชาติลงทุนสูง และ ระยอง–ชลบุรี (EEC) – ฐานอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี เพียงแต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากพลังของท้องถิ่นและภาคเอกชนผลักดันเอง ไม่ใช่ภาครัฐ อย่างเชียงใหม่เอง ก็เคยมีแนวคิดจะทำให้เป็น “มหานครเชียงใหม่” แต่ยังไม่ผ่านตรากฎหมายเฉพาะของรัฐสภา ดังนั้นจังหวัดทั่วไปก็ยังคงอยู่ภายใต้ “ระบบราชการรวมศูนย์” ที่ไม่มีอำนาจและได้รับการสนับสนุนมากพอ ดีเท่ากรุงเทพ
 
ดังนั้น ความเจริญแบบกรุงเทพมหานคร สามารถเกิดขึ้นได้ในจังหวัดอื่นได้ ถ้าประเทศไทยเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้าง จากระบบจาก “รวมศูนย์” เป็น “กระจายศูนย์” ที่กระจายอำนาจการคลังให้ท้องถิ่นจัดเก็บภาษีเองได้ ให้สิทธิท้องถิ่นวางผังเมืองและกำหนดกฎหมายท้องถิ่น พัฒนาโครงข่ายคมนาคมเชื่อมจังหวัดสู่อีกจังหวัด ไม่ใช่จังหวัดต้องผ่านกรุงเทพ หรือไปจนถึงส่งเสริมการกระจายมหาวิทยาลัย ศูนย์นวัตกรรม และสื่อออกไปสู่ภูมิภาค เป็นต้น แต่ถ้ายังเป็นระบบรวมศูนย์แบบเดิม กรุงเทพก็จะยังคงเป็น “มหานครเพียงหนึ่งเดียว” ที่เมืองอื่นจะได้เพียงแค่เศษเสี้ยวของศักยภาพที่ควรมีในแบบปัจจุบัน ขณะนี้

LastUpdate 12/11/2568 21:48:52 โดย : Admin
13-11-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. พยากรณ์อากาศวันนี้ (13 พ.ย.68) "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก-ภาคใต้" ฝนฟ้าคะนอง 40% ภาคเหนือ 30% ภาคอีสาน 10% และอุณหภูมิลดลง 1-3 องศา

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (13 พ.ย.68) บวก 3.14 จุด ดัชนี 1,287.95 จุด

3. MTS Gold คาดราคาทองคำ จะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,180-4,150 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,230-4,250 เหรียญ

4. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (12 พ.ย.68) พุ่งทำนิวไฮ บวก 326.86 จุด รับความหวังชัตดาวน์ใกล้สิ้นสุดลง

5. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.30-32.55 บาท / ดอลลาร์

6. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (12 พ.ย.68) พุ่ง 97.3 ดอลลาร์ รับบอนด์ยีลด์ร่วง-ชัตดาวน์ใกล้ยุติ

7. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (13 พ.ย.68) แข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 32.36 บาทต่อดอลลาร์

8. ทองเปิดตลาดวันนี้ (13 พ.ย. 68) พุ่งขึ้น 850 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 65,050 บาท

9. ตลาดหุ้นไทยเปิด (13 พ.ย.68) บวก 3.83 จุด ดัชนี 1,288.64 จุด

10. ตลาดหุ้นปิด (12 พ.ย.68) ลบ 15.66 จุด ดัชนี 1,284.81 จุด

11. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (12 พ.ย.68) ลบ 7.81 จุด ดัชนี 1,292.66 จุด

12. MTS Gold ราคาทองประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,070-4,100 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,150-4,200 เหรียญ

13. ทองเปิดตลาดวันนี้ (12 พ.ย. 68) ลดลง 50 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 64,250 บาท

14. พยากรณ์อากาศวันนี้ (12 พ.ย.68) ลมหนาวเยือนภาคอีสาน อุณหภูมิลด 1-2 องศา ยอดดอย 10 องศา,ประเทศไทยตอนบนยังมีฝนบางแห่ง 20% กทม. 30% ภาคตะวันออก 40% ภาคใต้ 30-40%

15. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (11 พ.ย.68) พุ่ง 559.33 จุด ขานรับชัตดาวน์ใกล้ยุติ

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 13, 2025, 3:46 pm