ประกัน
ไทยประกันชีวิตเผยผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2568 มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (VONB) อยู่ที่ 5,701 ล้านบาท เติบโต 10.1% ภายใต้กลยุทธ์มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง ด้านกำไรสุทธิยังคงแข็งแกร่งที่ 9,359 ล้านบาท


ไทยประกันชีวิตเผยผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2568 มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (VONB) อยู่ที่ 5,701 ล้านบาท เติบโต 10.1% ภายใต้กลยุทธ์มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง ด้านกำไรสุทธิยังคงแข็งแกร่งที่ 9,359 ล้านบาท โดยกำไรจากการรับประกันภัยเติบโตเพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของธุรกิจ และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ 


บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI รายงานผลประกอบการของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (VONB) อยู่ที่ 5,701 ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้น 10.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากการขายที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์ประเภทสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพที่มีมูลค่าสูง ทั้งนี้ ภายใต้มาตรฐานบัญชีใหม่ กำไรสุทธิของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่งที่ 9,359 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) 22.5%

 
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า การเติบโตของ VONB เป็นผลสืบเนื่องจากการเติบโตในทุกช่องทางการขาย โดยเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) ในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ 10,082 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการขายผ่านช่องทางตัวแทนประกันชีวิตที่เป็นช่องทางการขายหลักของบริษัทฯ ยังคงเติบโตต่อเนื่อง และมีการปรับสัดส่วนการขายเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงมากขึ้น โดยเฉพาะสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ สำหรับช่องทางพันธมิตร การเติบโตของ APE มาจากการร่วมมือกับพันธมิตรในการมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทสามัญ รวมถึงการนำเสนอขายผลิตภัณฑ์ที่ตรงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย 

ขณะเดียวกัน กำไรสุทธิในส่วนที่ไม่รวมรายการพิเศษและผลกระทบจากความผันผวนของตลาดช่วง 9 เดือนแรก อยู่ที่ 8,674 ล้านบาท เติบโต 14.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทฯ มีกำไรจากการรับประกันภัยเป็นหลัก อยู่ที่ 7,305 ล้านบาท ขณะที่กำไรจากการลงทุนที่ไม่รวมรายการพิเศษและผลกระทบจากความผันผวนของตลาด มีการเติบโตสอดคล้องกับการเติบโตของพอร์ตลงทุนและการเติบโตของธุรกิจ ทั้งนี้ พอร์ตการลงทุนของบริษัทฯ มีการกระจายความเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศ ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 มากกว่า 85% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมด อยู่ในรูปแบบตราสารหนี้ที่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับที่น่าลงทุน

สำหรับอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน หรือ CAR Ratio ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 อยู่ที่ 568.8% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้อยู่ที่ 140% สะท้อนสถานะเงินทุนที่แข็งแกร่งอันเป็นรากฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน

นอกเหนือจากการสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนแล้ว ไทยประกันชีวิตยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสิทธิภาพการบริการเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อให้กับผู้เอาประกันภัย ผ่าน “แอปพลิเคชัน ไทยประกันชีวิต” ด้วยการพัฒนาบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เอาประกันภัย อาทิ การพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ สำหรับบริการเคลมออนไลน์ ที่ผู้เอาประกันภัยสามารถยื่นเอกสารเคลมผ่านแอปพลิเคชัน ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลทั้งผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD) รวมถึงมอบการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร อาทิ บริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ หรือฟีเจอร์ใหม่บริการปรึกษาเภสัชกรออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อยกระดับการดูแลสุขภาพช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญได้ง่ายขึ้น พร้อมการสั่งซื้อยาออนไลน์และจัดส่งถึงบ้าน สร้างความสะดวกสบายและความมั่นใจในทุกขั้นตอนของการดูแลสุขภาพ

นายไชย เปิดเผยว่า ไทยประกันชีวิตมุ่งมั่นดูแลชีวิตคนไทยผ่านการสร้างหลักประกันชีวิตให้ทุกครอบครัว ภายใต้วิสัยทัศน์ “การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืนที่ส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสีย” พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแนวทาง ESG ครอบคลุมมิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ส่งผลให้ไทยประกันชีวิตได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ จากพิธีมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร (Prime Minister’s Insurance Awards) ประจำปี 2568 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ประกอบด้วย รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการบริหารงานดีเด่น อันดับที่ 1 ประจำปี 2567 และ รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการพัฒนาด้านความยั่งยืนในธุรกิจประกันภัยดีเด่น ประจำปี 2567 

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้รับการประเมินในระดับดีเลิศ (Excellent) จากผลสำรวจด้านการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนไทย (CGR) ประจำปี 2568 โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai IOD) รวมถึงได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14064-1:2018 จากบริษัท บูโร เวอริทัส เซอทิฟิเคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด และมาตรฐานคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization : CFO) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ประจำปี 2567 การได้รับรางวัลและการรับรองมาตรฐานเหล่านี้เป็นสิ่งยืนยันความเป็นผู้นำด้านการบริหารจัดการ การพัฒนานวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจ การกำกับดูแลกิจการที่ดี และการสร้างความยั่งยืนของไทยประกันชีวิต
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 15 พ.ย. 2568 เวลา : 19:59:06
16-11-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (14 พ.ย.68) ลบ 18.18 จุด ดัชนี 1,269.26 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (14 พ.ย.68) ลบ 20.07 จุด ดัชนี 1,267.37 จุด

3. พยากรณ์อากาศวันนี้ (14 พ.ย.68) ภาคเหนือ-ภาคอีสาน อุณหภูมิลดลง 1-2 องศา "ยอดดอย - ยอดภู" อากาศหนาวเย็น 9-10 องศา "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก-ภาคใต้" ฝนฟ้าคะนอง 40%

4. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (13 พ.ย.68) ร่วง 797.60 จุด นักลงทุนลดความคาดหวังเฟดลดดอกเบี้ยเดือนธ.ค.

5. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (13 พ.ย.68) ลบ 19.1 ดอลลาร์ วิตกเฟดเมินลดดอกเบี้ย

6. MTS Gold คาดราคาทองคำทิศทางโดยรวมยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น "Sideway Up" แนวรับที่ 63,800 บาท และแนวต้านที่ 64,700 บาท

7. ทองเปิดตลาดวันนี้ (14 พ.ย.68) ร่วงลง 600 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 64,950 บาท

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (14 พ.ย.68) ลบ 7.35 จุด ดัชนี 1,280.09 จุด

9. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (14 พ.ย.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 32.37 บาทต่อดอลลาร์

10. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.25 - 32.50 บาท / ดอลลาร์

11. ตลาดหุ้นปิด (13 พ.ย.68) บวก 2.63 จุด ดัชนี 1,287.44 จุด

12. พยากรณ์อากาศวันนี้ (13 พ.ย.68) "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก-ภาคใต้" ฝนฟ้าคะนอง 40% ภาคเหนือ 30% ภาคอีสาน 10% และอุณหภูมิลดลง 1-3 องศา

13. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (13 พ.ย.68) บวก 3.14 จุด ดัชนี 1,287.95 จุด

14. MTS Gold คาดราคาทองคำ จะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,180-4,150 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,230-4,250 เหรียญ

15. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (12 พ.ย.68) พุ่งทำนิวไฮ บวก 326.86 จุด รับความหวังชัตดาวน์ใกล้สิ้นสุดลง

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 16, 2025, 4:56 am