คาด SET ได้รับปัจจัยกดดัน แม้เฟดลดดอกเบี้ยตามคาด 25bps อย่างไรก็ตาม ส่งสัญญาณชะลอลดดอกเบี้ยในปีหน้าเหลือ 2 ครั้ง จากเดิม 4 ครั้ง ส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่า และ Bond Yield สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น เป็นปัจจัยลบต่อดัชนีให้ปรับลง โดยมีแนวรับอยู่ที่ 1390 และ 1377 จุด ตามลำดับ ส่วนกรอบบนถูกจำกัดบริเวณแนวต้าน 1408 และ 1420 จุด ตามลำดับ
ประเด็นสำคัญ
• กนง. มีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.25% ตามตลาดคาด โดยมมองอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่เงินเฟ้อกำลังเข้าสู่กรอบเป้าหมาย และมองเศรษฐกิจไทยปีนี้และปีหน้ามีแนวโน้มเติบโต 2.7% และ 2.9% ตามลำดับ
• เฟดมีมติปรับลดดอกเบี้ยลง 25bps สู่ระดับ 4.25-4.50% ตามตลาดคาด แต่ Dot Plot ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2568 ลงเพียง 2 ครั้ง ครั้งละ 25bps รวม 50bps จากเดิมที่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง รวม 100bps เมื่อในเดือนก.ย.
• ส.อ.ท. เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย. ปรับขึ้นเป็น 91.4 สูงสุดในรอบ 8 เดือน หนุนจากคำสั่งซื้อที่เร่งเข้ามา, การส่งออกที่เร่งตัว และบาทอ่อนค่าส่งผลดีต่อความสามารถในการแข่งขัน
• รมว. พาณิชย์เผยหลังประชุมร่วมกับกกร. เห็นตรงกันว่าปี 2568 การส่งออกคาดเติบโตได้ 2-3% คิดเป็นมูลค่า 10.38-10.48 ล้านลบ. เพิ่มขึ้น 5%YoY สูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ไทยส่งออกมา
• "ฮอนด้า-นิสสัน" หารือความเป็นไปได้แผน "ควบรวมกิจการ" เพื่อขึ้นเป็นบริษัทรถยนต์ยอดขายอันดับ 3 ของโลก แข่งขันในยุค EV จีน-เทสลาครองเมือง ด้าน "โตโยต้า" ยืนยันลงทุนไทย 5.5 หมื่นล้าน ใน 5 ปี
• EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบในสัปดาห์ก่อนลดลง 9.34 แสนบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 3.1 ล้านบาร์เรล แต่เบนซินเพิ่มขึ้น 2.3 ล้านบาร์เรล
• ตลท. ประกาศผลการคัดเลือกหลักทรัพย์ใช้คำนวณในดัชนีสำหรับ 1H68 SET50 มีการเปลี่ยนเข้าออก 4 หุ้น (เข้า: BANPU CCET COM7 SAWAD, ออก: BCP CENTEL EA TIDLOR) เช่นเดียวกับ SET100 (เข้า: CCET COCOCO JTS PR9 ออก: MBK RBF TIPH TOA)
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวนและรอสัญญาณกลับตัวขึ้นไปยืนเหนือ 1400 จุด ทั้งนี้ Upside ของตลาดขึ้นกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีน และการเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการซื้อกองทุนประหยัดภาษีที่มักเร่งตัวขึ้นในช่วงปลายปี ขณะที่ยังต้องติดตามนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดย Upside ของตลาดขึ้นกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีนและการเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการซื้อกองทุนประหยัดภาษี กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 1 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วงปลายปี อาทิ SSF และ RMF แนะนำลงทุนในหุ้น SET100 ซึ่งมีคุณสมบัติ คือ 1) จ่ายเงินปันผลดีและสม่ำเสมอ โดยให้ Div. Yield ขั้นต่ำปีละ 3% 2) เราให้คำแนะนำ Outperform และมี SETESG Rating สูงตั้งแต่ระดับ A-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว และ 3) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีความมั่นคงหรือมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 ได้แก่ ADVANC AP BBL BDMS HMPRO
2. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากรัฐเตรียมออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคและท่องเที่ยวเพิ่มเติมในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CPALL CRC HMPRO TNP) และกลุ่มท่องเที่ยว (AWC AOT MINT)
3. หุ้น Earning Play ซึ่งมองมีโมเมนตัมกำไร 4Q67 จะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งเราแนะนำ Outperform เลือก GULF OSP AMATA AU TIDLOR BCP
4. Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไร หุ้น Laggard ซึ่งมีเทคนิคมีแนวโน้มฟื้นตัว แนะนำ BEM BDMS MINT AP
DAILY TOP PICKS
BLA: ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นอ่อนตัวจนทำให้ Valuation น่าสนใจ โดยเทรด PBV 2568F ที่ 0.65 เท่า เทียบกับ ROE 8.5%, PER 2568F ที่ 8 เท่า เทียบกับการเติบโตของกำไร 29% ขณะที่ 4Q67 คาดกำไรโตแรง 96%YoY (อัตรากำไรจากรับประกันภัยดีขึ้น) และ 14%QoQ (กำไรจากลงทุนเพิ่มขึ้น) หนุนให้ปี 2567 คาดกำไรเติบโตดีที่ 32%YoY
HMPRO: มองราคาหุ้นปรับตัวลงแรงสวนทางกับยอดขายสาขาเดิมที่มีสัญญาณดีขึ้นและยังมีโอกาสได้รับผลบวกจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของภาครัฐ ขณะที่ 4Q67 คาดกำไรปกติจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้งปัจจุบัน Valuation ยังน่าสนใจ โดยซื้อขายที่ PER 2567F ที่ระดับ 20 เท่า ต่ำกว่า -2S.D. จากค่าเฉลี่ย PER 10 ปีย้อนหลังที่ 22 เท่า
ข่าวเด่น