เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Special Report : เครื่องสำอางไทย แต้มต่อการส่งออกไกลระดับโลก จากแรงผลักดันของ T-POP


เทรนด์ความสวยความงามแบบไทยในตอนนี้ กำลังเป็นที่ถูกพูดถึงในสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวางทั่วโลก ทั้งไวรัลอย่างการแต่งหน้าแบบ Thai Makeup ที่กำลังเป็นที่นิยม หรือการเติบโตของอุตสาหกรรมบันเทิง T-POP เป็น Soft Power ที่เป็นหน้าเป็นตาให้กับเศรษฐกิจไทย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนี้ ยึดโยงกับสินค้าผลิตภัณฑ์ความงามโดยเฉพาะเครื่องสำอางสัญชาติไทย ที่มีทิศทางการเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างมีนัยสำคัญ
 
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 3% โดยมีภาคการส่งออกไทยเป็นแรงผลักดัน ซึ่งคาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ 3% เช่นเดียวกัน แม้ว่าช่วงปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะต้องแบกรับความเสี่ยงของการเกิดสงครามการค้า หรือ Trade War 2.0 จากนโยบายการค้าของ โดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ  ที่เตรียมจะตั้งกำแพงภาษีนำเข้ากับสินค้าประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศที่มีแววว่าจะเป็น Threats ต่อสหรัฐ เช่น จีน เม็กซิโก หรือประเทศในกลุ่ม BRICS ในส่วนของประเทศไทย กลับได้อานิสงส์ให้กับสินค้าบางประเภท ที่จะกลายเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก โดยหนึ่งในนั้นคือ เครื่องสำอางไทย ที่จัดอยู่ในหมวดสินค้าที่สร้างความสุขหรือประสบการณ์ใหม่ (Mood for Joy) ซึ่งมีทิศทางการส่งออกที่พุ่งสูงขึ้นมากในปีหน้า สอดรับกับการที่ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เคยจัดอันดับ 10 ธุรกิจที่โดดเด่นในแต่ละปี และพบว่า ธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพและความงาม มักอยู่ในอันดับหนึ่งติดต่อกันมาหลายปี นอกจากนี้ อุตสาหกรรมเครื่องสำอางของไทยเติบโตเฉลี่ย 10-20% ต่อปีอีกด้วย
 
ข้อมูลดังกล่าว เป็นตัวชี้ชัดแล้วว่า เครื่องสำอางไทยเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังเป็นหน้าเป็นตาให้กับการส่งออกของไทยเป็นอย่างมาก แต่เบื้องหลังของการเติบโตที่ประจวบเหมาะเข้ากับการส่งเสริมจากสภาพแวดล้อมสถานการณ์โลกในปัจจุบัน มีที่มาจาก Soft Power ของวงการบันเทิงไทยในช่วงไม่ถึง 10 ปีมานี้ ซีรีย์และอุตสาหกรรม T-POP ได้เข้าไปครองใจตลาดต่างประเทศเป็นอย่างมาก พวกเขามีความชื่นชอบในตัวของศิลปินนักแสดงไทย เปิดใจให้กับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่ถูกถ่ายทอดในระดับ Global ดังนั้นสินค้าและบริการที่สร้างประสบการณ์ที่ยึดโยงกับความเป็นไทยจึงมีความต้องการในตลาดโลกเป็นอย่างมาก โดยหากสังเกตดี ๆ รูปแบบการเปิดรับสินค้าเครื่องสำอางไทยดังกล่าว มี Pattern คล้าย ๆ กับ อุตสาหกรรม K-POP ในฝั่งเกาหลีใต้ ที่ได้ใช้ความบันเทิงเป็น Soft Power ในการเผยแพร่วัฒนธรรมและเอาค่านิยมความเป็นเกาหลีไปป้อนให้กับตลาดโลกเช่นกัน เช่น ผิวขาวใสสไตล์เกาหลี แต่งหน้าแบบสาวเกาหลี ทำให้อุตสาหกรรมความงามของประเทศเติบโตอย่างมากมายมหาศาลจนกลายเป็น 1 ใน Beauty Standard ของโลกมาแล้ว
 
ดังนั้นเอง การกลับมาของ T-POP จึงเป็นแรงสำคัญที่ผลักดันให้สินค้า Made in Thailand กลายเป็นฉลากที่มีมูลค่าติดตัว ทั้งนี้ก็ยังมีสาเหตุสำคัญจากการที่ตลาดความงามในไทย เป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีการเติบโตขึ้นในทุกปีจากปัจจัยของการเปิดกว้างในประเทศ ที่ทั้งเพศชาย เพศหญิง และ LGBTQ ในทุก ๆ ช่วงวัย ต่างให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องความงาม และการดูแลตัวเองกันมากขึ้น ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ความงามในท้องตลาดต่างมีการแข่งขันพัฒนานวัตกรรมสินค้ากันอยู่ตลอดเวลา และด้วยความก้าวหน้าของสื่อโซเชียลออนไลน์ โดยเฉพาะ TikTok ที่คนไทยเล่นมากที่สุดเป็นอันดับ 9 ของโลก การเผยแพร่ของเทรนด์ความงาม รวมถึงเครื่องสำอางไทย ก็ยิ่งส่งออกไปสู่สายตาชาวโลกมากขึ้น เช่น เทรนด์แต่งหน้าแบบ Thai Makeup หรือความโด่งดังของนักแสดงนำหญิงชาวไทยที่กำลังเป็นไวรัลอย่างใหม่ ดาวิกา, ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก และ หลิง-ออม ที่ทำให้ค่านิยมความงามแบบไทยโด่งดังมากขึ้น
 
นอกจากนี้ การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ได้ส่งผลให้เครื่องสำอางไทยก็มีโอกาสทำตลาดในอาเซียนได้ง่ายขึ้น ด้วยการที่หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ต่างร่วมกันพัฒนาให้ไทยกลายเป็น Hub ด้านการผลิตเครื่องสำอางในอาเซียน จากปัจจัยส่งเสริมที่ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพในเรื่องผลิต และได้รับจ้างผลิตให้กับแบรนด์ดังระดับโลกอยู่แล้ว นับเป็น Ecosystem ที่กรุยทางให้เครื่องสำอางไทยกลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ
 
อย่างไรก็ตาม ประเด็นของสิ่งแวดล้อม เริ่มเป็นมาตรฐานสำคัญต่อการพิจารณาบริโภคสินค้าในตลาดโลก ดังนั้นหากผู้ประกอบการไทยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ทำให้กระบวนการผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ประกอบร่วมกับการผลักดัน Green Economy หรือเศรษฐกิจสีเขียวของภาครัฐ ก็จะทำให้แบรนด์เครื่องสำอางไทย มี Competitiveness ที่สามารถส่งสินค้าจำหน่ายได้กว้างขวางมากขึ้น

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 22 ธ.ค. 2567 เวลา : 19:36:21
23-12-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ประกาศ กปน.: 24 ธ.ค. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำบางพลี

2. ตลาดหุ้นปิด (20 ธ.ค.67) ลบ 12.46 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,365.07 จุด

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (20 ธ.ค.67) ลบ 13.48 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,364.05 จุด

4. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 2,580 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,615 เหรียญ

5. ทั่วไทยอุณหภูมิลดลงเล็กน้อย "ยอดดอย" หนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5 องศา มีน้ำค้างแข็งบางแห่ง "ยอดภู" 6 องศา

6. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (19 ธ.ค.67) บวก 15.37 จุด ตลาดจับตาดัชนี PCE สหรัฐวันนี้

7. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (19 ธ.ค.67) ร่วง 45.20 เหรียญ หลังเฟดส่งสัญญาณชะลอลดดอกเบี้ย

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (20 ธ.ค.67) ลบ 0.50 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,375.83 จุด

9. ทองเปิดตลาดวันนี้ (20 ธ.ค. 67) ปรับลดลง 200 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 43,150 บาท

10. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.50-34.75 บาท/ดอลลาร์

11. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (20 ธ.ค.67) อ่อนค่าลง ที่ระดับ 34.59 บาทต่อดอลลาร์

12. ตลาดหุ้นปิด (19 ธ.ค.67) ลบ 21.42 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,377.53 จุด

13. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (19 ธ.ค.67) ลบ 6.55 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,392.40 จุด

14. MTS Gold คาดว่าวันนี้ราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 2,590 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,640 เหรียญ

15. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (19 ธ.ค.67) อ่อนค่าลงหนัก ที่ระดับ 34.58 บาทต่อดอลลาร์

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 23, 2024, 10:04 am