กองทุนรวม
อีสท์สปริง หนุนการลงทุนครึ่งปีหลัง 67 เปิดตัวแอปใหม่-เตรียมรุกตลาด PVD พร้อมชูหุ้นสหรัฐ-อินเดีย ผ่าน 4 กองทุนเด่น


 

นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยถึงภาพรวมการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก 2567 ว่า โลกยังคงเผชิญความท้าทายจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ และ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อความผันผวนของภาพรวมการลงทุน โดยบลจ.อีสท์สปริง ได้มุ่งเน้นให้คำแนะนำในการจัดพอร์ตแบบสร้างสมดุลเพื่อไม่ให้ผู้ลงทุนพลาดโอกาสในการลงทุน และช่วยกระจายความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆ พร้อมการออกผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการทั้งในและต่างประเทศ โดยปัจจุบัน บลจ.อีสท์สปริง สามารถบริหารจัดการกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Funds หรือ FIFs) ได้โดดเด่น และ มีส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนรวม FIF ตราสารหนี้ คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 19% และ ยังครองสัดส่วนการตลาดเป็นอันดับ 2 ในกองทุน FIF ตราสารทุน ด้วยส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 13% (ข้อมูลจาก AIMC ณ สิ้นเดือน มิถุนายน 2567) 

 
นางสาวดารบุษป์ กล่าวว่า การขับเคลื่อนของ บลจ.อีสท์สปริง ในระยะยาวมุ่งเน้นเรื่องการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้คนในสังคมเพื่อรองรับการเกษียณ ทั้งการออกผลิตภัณฑ์กองทุน Term Fund ร่วมกับทางธนาคารทหารไทยธนชาติ เพื่อเป็น  Complimentary Service สำหรับหรับกองทุนที่มีระดับความเสี่ยงสูงขึ้น ส่วนกองทุน Short Term Investment Fund (STIF) จะมีกลไกควบคุมความเสี่ยงหลายอย่างเพิ่มเข้ามา ทั้งเกณฑ์จากทาง ก.ล.ต. และเกณฑ์จากทางภายในบลจ. เพื่อให้ผู้ลงทุนมีความสบายใจมากยิ่งขึ้น
 
 
และโดยหลังจากได้พัฒนานวัตกรรมใหม่พร้อมเปิดตัวโมบายแอปพลิเคชัน Eastspring M Choice TH เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บลจ.อีสท์สปริง ยังได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เพื่อการบริการเพิ่มเติมโดยให้สมาชิกสามารถปรับสัดส่วนอัตราเงินสะสมผ่านช่องทางดิจิทัลได้ไม่ต้องกรอกแบบฟอร์มกระดาษ นอกจากนี้ ยังต่อยอดการให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลเพื่อขยายตลาดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ด้วยการเปิดตัว Eastspring PVD Employer Online บริการที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้นายจ้าง และ Eastspring PVD Fund Committee สำหรับคณะกรรมการกองทุนเพื่อให้สามารถบริหารจัดการสมาชิกผ่านโมบายแอปพลิเคชันได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ ถือเป็นธุรกรรมที่ทำได้ทันทีแบบไร้รอยต่อ โดยไม่ต้องมีการส่งข้อมูลทางอีเมลระหว่างกัน รวมถึงไม่ต้องนำส่งกระดาษเพื่อเวียนลงนาม ช่วยลดการสูญเสียทรัพยากร ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล และ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ในการทำงานแบบ Smart Work-Smart Solution 
 
“ด้วยจุดแข็งของการมีผลิตภัณฑ์ที่มีทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายกว่า 30 นโยบาย ตลอดจนการพัฒนาด้านการบริการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บลจ.อีสท์สปริง มีจำนวนลูกค้าผู้ใช้บริการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีลูกค้ารวม 1,949 บริษัท จำนวนสมาชิก 168,115 ราย และมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ที่ 61,682 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2567)” นางสาวดารบุษป์ กล่าว
 

 
ด้านนายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.อีสท์สปริง  เปิดเผยถึงผลตอบแทนครึ่งปีแรกที่ผ่านมาว่า ในกลุ่มหุ้น สำหรับหุ้นญี่ปุ่นมีผลตอบแทน 19.3% หุ้นจีนให้ผลตอบแทน 11.3% เวียดนาม 11% อินเดีย 10% ส่วนดัชนี Asia Pacific ex Japan ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 9% กลุ่มตลาดเกิดใหม่ Emerging Markets อยู่ที่ประมาณ 7% ดัชนีตลาดหุ้นจีน CSI 300 อยู่ที่ประมาณ 2% ส่วนหุ้นอินโดนีเซีย JCI อาจจะติดลบไปบ้าง และสุดท้าย SET Index ของไทย ติดลบอยู่ที่ 6% แต่โดยรวมแล้ว ตลาดโดยทั่วไปยังอยู่ในสถานการณ์ที่ดี บลจ.อีสท์สปริง จึงประเมินว่าในครึ่งปีหลังตลาดหุ้นยังคงความน่าสนใจ โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ที่ได้ประโยชน์จากธีม AI  ขณะที่ตลาดหุ้นอินเดียเป็นอีกตลาดที่คาดว่าจะสามารถเติบโตได้โดดเด่นในภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้กลุ่มตราสารหนี้สหรัฐฯก็คาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้น่าสนใจหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯน่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส4 ของปีนี้
 
 
โดยครึ่งปีหลังคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเติบโตได้ พิจารณาจากตราสารหนี้ที่เป็น Non-Investment Grade มีความเสี่ยงสูง อย่าง High Yield Bond มีผลตอบแทนดีอยู่ที่ 3.88% ในขณะที่ตราสารหนี้แบบ Investment Grade ที่มีอันดับเครดิต BBB ขึ้นไป กลับได้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าตัวเสี่ยง บ่งบอกถึงสภาวะตลาดที่ค่อนข้างรับกับความเสี่ยงได้ และคาดการณ์ว่าสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯจะไม่เกิด Hard Landing ประกอบกับ GDP สหรัฐฯ ที่แม้จะลดลงจากไตรมาสที่แล้ว แต่ก็ไม่เป็นประเด็นที่น่ากังวล เพราะลักษณะการเติบโตที่ลดลงมีที่มาจากดุลการค้าและการปรับ Inventory ที่เป็นสินค้าคงเหลือที่เป็นรายการอยู่ในงบแสดงสถานะการเงิน อีกทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนของสหรัฐฯยังคงเติบโต ตลาดแรงงานมีโอกาสเข้ามาสู่จุดสมดุล และสถานการณ์เงินเฟ้อที่ไล่ระดับลงมา เป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ 
 
 
“สถานการณ์เงินเฟ้อที่ดูดีขึ้นในปัจจุบันที่ 2.6% ซึ่งลดลงมาใกล้ระดับเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางสหรัฐ ทำให้เราคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 1-2 ในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อตลาดตราสารหนี้ ขณะที่ประเด็นการเลือกตั้งสหรัฐฯ และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เราประเมินว่าผลกระทบดังกล่าวจะสร้างความผันผวนแค่ชั่วคราว และ จะเป็นจังหวะในการสร้างโอกาสการลงทุน” นายยิ่งยง กล่าว
 
นอกจากนี้นายยิ่งยงยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐ Long Term Rate ที่ 2.8% มีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐจะยังสูงกว่าที่ไทยไปอีกสักระยะหนึ่ง ทั้งนี้ก็มีโอกาสน้อยมากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นมาอีก และคาดการณ์ว่าอาจมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ในอนาคต ฉะนั้นจึงเป็นปัจจัยกดดันให้ค่าเงินบาทไทยยังอ่อนอยู่
 
 
นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยถึงแนวทางการลงทุน กลุ่มหุ้นไทยและจีนยังคงเผชิญความเสี่ยงในด้านโครงสร้างอยู่ ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และอินเดียมีความน่าสนใจ รวมถึงตราสารหนี้สหรัฐฯ ที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในระดับประมาณ 5% ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1-2 ครั้งในสิ้นปี 2567
 
“สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า คาดว่าจะเกิดการชะลอตัวแบบ Soft Landing ไม่ใช่ Recession เหมือนช่วงก่อนหน้านี้ที่ตลาดกังวล อีกทั้งยังมีปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นสหรัฐฯอยู่ 2 ปัจจัยด้วยกัน คือ เศรษฐกิจมีโอกาสขยายตัวได้โดยรวม และกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ยังเติบโตได้อยู่ ซึ่งทางบลจ.คาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯในกลุ่มนี้น่าจะเติบโตได้อีก 7% ในช่วงสิ้นปีนี้ ส่วนตลาดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ คาดว่าจะเติบโตขึ้นมาอีก 15% ในช่วงเวลาเดียวกัน” นายบดินทร์ กล่าว
ส่วนตลาดหุ้นทางฝั่งเอเชียที่น่าสนใจ คือตลาดหุ้นอินเดีย เนื่องจากมีความมั่นคงทางสถานการณ์การเมือง แม้ผลการเลือกตั้งจะเป็นรัฐบาลผสมก็ตาม แต่ยังมีความคล่องตัวในการดำเนินนโยบาย แสดงให้เห็นจากสภาวะเศรษฐกิจที่ช่วงต้นปี GDP ของอินเดียเติบโต 7%  และเติบโตขึ้นมา ณ ปัจจุบันที่ 7.8% ตามการคาดการณ์ ส่วนกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ในตลาดหุ้นอินเดียจะเติบโตได้อีก 8-9% ในช่วงสิ้นปี 2567 และโต 14% ในปี 2568 นอกจากนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐในอนาคต คาดว่าเม็ดเงินลงทุนจะหลั่งไหลไปยังตลาดเกิดใหม่อย่างอินเดียมากขึ้น
 
 
ฉะนั้น สำหรับการลงทุนในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 มี 4 กองทุนเด่นที่อีสท์สปริงแนะนำ คือ 
 
1.กองทุนเปิดอีสท์สปริง US Information Technology (ES-USTECH)  ที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ 
 
2.กองทุนเปิดอีสท์สปริง US Blue Chip Equity (ES-USBLUECHIP) ที่ลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ของสหรัฐฯที่มีการเติบโตของรายได้ กำไร รวมทั้งมีความสามารถในการแข่งขันและเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม 
 
3.กองทุนเปิดอีสท์สปริง India Active Equity (ES-INDAE)  ที่เน้นลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนโดยจะลงทุนหุ้นที่มีภูมิลำเนาหรือมีกำไรหรือรายได้หลักในประเทศอินเดีย 
 
4.กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Income (ES-GINCOME)  ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ประเภทต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชนทั่วโลกเพื่อสร้างการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว

คำเตือน
 
เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน / หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ / ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผู้ลงทุนสามารถขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่ได้รับการแต่งตั้ง
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 12 ก.ค. 2567 เวลา : 21:07:46
08-09-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (6 ก.ย.67) บวก 23.36 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,427.64 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (6 ก.ย.67) บวก 22.52 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,426.80 จุด

3. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำยังคงแกว่งตัวในกรอบแนวรับที่ระดับ 2,490 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,525 เหรียญ

4. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.50-33.75 บาท/ดอลลาร์

5. ทองเปิดตลาดวันนี้ (6 ก.ย. 67) ลดลง 150 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 40,500 บาท

6. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (6 ก.ย.67) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 33.60 บาทต่อดอลลาร์

7. มรสุมกำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ส่งผลฝนตกหนักในภาคใต้ ฝั่ง ตต. 70% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก 60% ภาคอื่น 40%

8. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (5 ก.ย.67) ร่วง 219.22 จุด ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน-ตลาดจับตาจ้างงานสหรัฐ

9. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (5 ก.ย.67) บวก 17.10 เหรียญ รับความหวังเฟดลดดอกเบี้ย 0.50%

10. ตลาดหุ้นไทยเปิด (6 ก.ย.67) บวก 9.63 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,413.91 จุด

11. ข่าวดี !!! พรุ่งนี้ (6 ก.ย. 67) น้ำมันเบนซิน ลด 40 สต. แก๊สโซฮอล์ ลด 50 สต.

12. ตลาดหุ้นปิดวันนี้ (5 ก.ย.67) พุ่งแรง บวก 38.79 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,404.28 จุด

13. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (5 ก.ย.67) บวก 28.71 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,394.20 จุด

14. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 2,480 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,510 เหรียญ

15. ประกาศ กปน.: 10 ก.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล โรงงานผลิตน้ำสามเสน 2

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ September 8, 2024, 6:53 am