หุ้นทอง
Special Report : ภาพรวม SET ครึ่งปีหลัง 67 ยังอ่อนแรง ไร้ปัจจัยสนับสนุน-แรงกดดันทางการเมือง แนะลงทุนรายตัว


บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ ยังคงได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทย จากทั้งประเด็นคดีคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 14 ส.ค. 2567 นี้ ว่าจะพ้นสภาพการเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ และรายละเอียดของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ยังคงต้องรอความชัดเจนมากกว่านี้ ประกอบกับปัจจัยด้านต่างประเทศ ที่การเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ กระทบต่อ Fund Flow ที่จะไหลเข้ามายังตลาดหุ้นไทยยังคงมีความจำกัด ส่งผลให้ SET Index มีแนวโน้มเคลื่อนที่ในกรอบแนวต้าน 1298 และ 1305 จุด และทดสอบจุดต่ำเดิมบริเวณ 1287 และ 1280 จุด ตามลำดับในช่วงระยะสั้นนี้
 
จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิถึง 117,081 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทนติดลบอยู่ที่ 6% ซึ่งเป็นผลจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของทางธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed นับตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่เป็นปัจจัยกดดันให้กระแสเงินทุน หรือ Fund Flow โยกจากตลาดตราสารหนี้ไทย ไปยังตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 นับจากนี้ ปัจจัยในประเทศช่วงระยะสั้น มีแรงกดดันจากทางรัฐบาล ที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน จากในคดีคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ปมแต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดพิจารณาในวันที่ 14 ส.ค. 2567 นี้ ทำให้ SET Index อยู่ในโหมด Overhang ซึ่งตลาดมีแนวโน้มทำไซด์เวย์เลือกทางไม่ได้ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่รอดูความชัดเจนในประเด็นดังกล่าวก่อนลงทุน
 
หากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า นายกรัฐมนตรีมีความผิดจริง จะส่งผลให้สถานภาพความเป็นนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) สิ้นสุดลง นักวิเคราะห์ต่างมองว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบเชิงเซนติเมน ดังที่ นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ ในฐานะนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน วิเคราะห์ว่า หากนายกรัฐมนตรีเศรษฐา พ้นจากตำแหน่ง จะกระทบต่อความเชื่อมั่น ผนวกเข้ากับในช่วงเศรษฐกิจไทยอ่อนแอเช่นนี้ด้วย จะยิ่งเป็นการสร้างความผันผวนต่อตลาดทุนไทยไปอีก 1 เดือน เพราะไทยจะขาดผู้นำประเทศชั่วคราว และต้องเข้าสู่กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และด้านโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต อาจจะทำไม่ได้ เพราะต้องรอ ครม.ชุดใหม่ ทำให้แม้จะมีการคืบหน้าของโครงการดังกล่าว ที่ล่าสุดจะให้ประชาชน เริ่มลงทะเบียนได้ตั้งแต่ 1 ส.ค. - 15 ก.ย. 2567 แต่ก็ยังไม่ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก เนื่องจากนักลงทุนรอความชัดเจน สะท้อนจาก SET Index ที่ยังคงแกว่งตัวไซด์เวย์ไปจนถึงวันที่ 14 ส.ค.2567 โดยมีกรอบไว้ที่ 1,285 - 1,315 จุด
 
ในขณะที่หากที่วินิจฉัยว่าไม่มีความผิดและยังคงดำรงตำแหน่งต่อ ก็จะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย แต่ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยปัจจุบันได้แรงส่งหลักจากภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวเพียงเท่านั้น ยังต้องอาศัยการใช้จ่ายของภาครัฐเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจต่อจากนี้ ส่วนการพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศในช่วงเวลานี้ยังเป็นเรื่องยาก เพราะแม้ไทยจะได้แรงสนับสนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed แต่ด้วยส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ - ไทย ที่กว้างมาก และทาง Fed ยังคง Long Term Rate ที่ 2.8% ฉะนั้นความคาดหวังต่อ Fund Flow ว่าจะไหลกลับสู่ตลาด Emerging Market ทั้งไทยที่ค่าเงินบาทอ่อนอยู่ และจีน(ซึ่งทิศทางตลาดหุ้นไทยมีความสัมพันธ์กัน) ที่กำลังเผชิญกับปัญหาโครงสร้างยังคงเป็นไปอย่างจำกัด
 
นอกจากนี้ สงครามเทคโนโลยีที่มีท่าทีรุนแรงขึ้นจะยังเป็นความเสี่ยงของตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ทำให้ในระยะนี้ นักลงทุนเลือกเก็งกำไรตามผลประกอบการของหุ้นไทยรายตัว โดยจากสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติ (Foreign Ownership) พบสัญญาณว่า นักลงทุนต่างชาติมีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มยานยนต์, การแพทย์ และสื่อสาร ขณะที่อุตสาหกรรมที่ยังไม่เห็นแนวโน้มเด่นชัด แต่เริ่มมีสัญญาณบวกจากการเพิ่มการถือครอง ในกลุ่มนี้ประกอบด้วยอุตสาหกรรมเกษตร, การเงิน, อาหาร และท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าติดตาม
 
สอดคล้องกับทางบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) แนะนำกลยุทธ์ลงทุนแบบ “Selective Buy” ประจำสัปดาห์ใน 4 ธีม ดังนี้

1) หุ้นกลุ่ม Earnings Play ซึ่งคาด 2Q67 กำไรจะยังสามารถเติบโตทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้ง Valuation ยังไม่แพง เลือก MINT BEM OSP TU KCE CPF TRUE

2) หุ้นที่คาดจะได้อานิสงส์ Cover Short หลัง ตลท. เริ่มใช้มาตรการ Uptick ตั้งแต่ 1 ก.ค. 67 และเป็นหุ้นพื้นฐานดีมี ESG Rating ระดับ A-AAA เลือก HANA TOP BEM MINT OSP BBL AOT

3) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากแผนปรับเงื่อนไขกองทุน Thai ESG ใหม่ โดยขยายวงเงินเป็น 3 แสนบาทและลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี เลือก ADVANC AOT CPALL BDMS BBL KTB GULF

4) ราคาน้ำมันดิบ Brent ฟื้นตัว แม้ความไม่สงบในตะวันออกกลางยังไม่กระจายออกในวงกว้าง แต่ยังมีการโจมตีเรือบรรทุกสินค้าในทะเลแดง และโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันในรัสเซียกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยประเมินกรอบราคา 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จึงยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 26 ก.ค. 2567 เวลา : 11:04:08
08-09-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (6 ก.ย.67) บวก 23.36 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,427.64 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (6 ก.ย.67) บวก 22.52 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,426.80 จุด

3. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำยังคงแกว่งตัวในกรอบแนวรับที่ระดับ 2,490 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,525 เหรียญ

4. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.50-33.75 บาท/ดอลลาร์

5. ทองเปิดตลาดวันนี้ (6 ก.ย. 67) ลดลง 150 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 40,500 บาท

6. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (6 ก.ย.67) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 33.60 บาทต่อดอลลาร์

7. มรสุมกำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ส่งผลฝนตกหนักในภาคใต้ ฝั่ง ตต. 70% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก 60% ภาคอื่น 40%

8. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (5 ก.ย.67) ร่วง 219.22 จุด ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน-ตลาดจับตาจ้างงานสหรัฐ

9. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (5 ก.ย.67) บวก 17.10 เหรียญ รับความหวังเฟดลดดอกเบี้ย 0.50%

10. ตลาดหุ้นไทยเปิด (6 ก.ย.67) บวก 9.63 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,413.91 จุด

11. ข่าวดี !!! พรุ่งนี้ (6 ก.ย. 67) น้ำมันเบนซิน ลด 40 สต. แก๊สโซฮอล์ ลด 50 สต.

12. ตลาดหุ้นปิดวันนี้ (5 ก.ย.67) พุ่งแรง บวก 38.79 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,404.28 จุด

13. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (5 ก.ย.67) บวก 28.71 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,394.20 จุด

14. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 2,480 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,510 เหรียญ

15. ประกาศ กปน.: 10 ก.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล โรงงานผลิตน้ำสามเสน 2

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ September 8, 2024, 6:55 am